เมนู

เถรีคาถา วีสตินิบาต


1. อัมพปาลีเถรีคาถา


[467] พระอัมพปาลีเถรี ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า
แต่ก่อน ผมของข้าพเจ้ามีสีดำเหมือนสีแมลงภู่
มีปลายผมงอน เดี๋ยวนี้ผมเหล่านั้นกลายเป็นเสมือน
ป่านปอเพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัส
แต่ความจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่แปรเป็นอื่น.
แต่ก่อน มวยผมของข้าพเจ้าเต็มด้วยดอกไม้หอม
กรุ่น เหมือนผอบที่อบกลิ่น เดี๋ยวนี่ผมนั้น มีกลิ่น
เหมือนขนแกะเพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้า
ผู้ตรัสแต่ความจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่แปรเป็นอื่น.
แต่ก่อน ผมของข้าพเจ้าดก งามด้วยปลายผม
ที่รวบไว้ด้วยหวีและเข็มเสียบ เหมือนป่าไม้ทึบที่ปลูก
ไว้เป็นระเบียบ เดี๋ยวนี้ผมนั้นบางลง ๆ ในที่นั้น ๆ
เพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสแต่ความ
จริง เป็นคำจริงแท้ ไม่แปรเป็นอื่น.
แต่ก่อน มวยผมดำ ประดับทอง ประดับด้วย
ช้องผมอย่างดี สวยงาม เดี๋ยวนี้ มวยผมนั้นก็ร่วงเลี่ยน
ไปทั้งศีรษะเพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้
ตรัสแต่ความจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่แปรเป็นอื่น.

แต่ก่อน คิ้วของข้าพเจ้าสวยงามคล้ายรอยเขียน
ที่จิตรกรบรรจงเขียนไว้ เดี่ยวนี้ กลายเป็นห้อยย่นลง
เพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสแต่ความ
จริง เป็นคำจริงแท้ ไม่แปรเป็นอื่น.
แต่ก่อน ดวงตาทั้งคู่ของข้าพเจ้าดำขลับมีประกาย
งาม คล้ายแหวนมณี เดี๋ยวนี้ ถูกชราทำลายเสียแล้ว
จึงไม่งาม พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสแต่ความ
จริง เป็นคำจริงแท้ ไม่แปรเป็นอื่น.
แต่ก่อน เมื่อวัยสาว จมูกของข้าพเจ้าโด่งงาม
เหมือนเกลียวหรดาล เดี๋ยวนี้กลับเหี่ยวแฟบเพราะชรา
พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสแต่ความจริง เป็นคำ
จริงแท้ ไม่แปรเป็นอื่น.
แต่ก่อน ใบหูทั้งสองของข้าพเจ้าสวยงามเหมือน
ตุ้มหูที่ช่างทำอย่างประณีตเสร็จเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวนี้
กลับห้อย ย่นเพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้า
ผู้ตรัสแต่ความจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่แปรเป็นอื่น.
แต่ก่อน ฟันของข้าพเจ้าสวยงามเหมือนหน่อตูม
ของต้นกล้วย เดี๋ยวนี้กลับหักดำเพราะชรา พระดำรัส
ของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสแต่ความจริง เป็นคำจริงแท้
ไม่แปรเป็นอื่น.
แต่ก่อน ข้าพเจ้าพูดเสียงไพเราะเหมือนนกดุเหว่า
ที่มีปกติเที่ยวไปในไพรสณฑ์ในป่าใหญ่ ส่งเสียงไพ-
เราะ เดี๋ยวนี้ คำพูดของข้าพเจ้า ก็พูดพลาดเพี้ยน

ไปในที่นั้น ๆ เพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้า
ผู้ตรัสแต่ความจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่แปรเป็นอื่น.
แต่ก่อน คอของข้าพเจ้าสวยงามกลมเกลี้ยง
เหมือนสังข์ขัดเกลี้ยงเกลาดีแล้ว เดี๋ยวนี้ กลายเป็น
งุ้มค้อมลงเพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัส
แต่ความจริง เป็นคำจริงแต่ ไม่แปรเป็นอื่น.
แต่ก่อน แขนทั้งสองของข้าพเจ้าสวยงาม เปรียบ
เสมือนไม้กลอนกลมกลึง เดี๋ยวนี้ กลายเป็นลีบเหมือน
กึ่งแคคด เพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้
ตรัสแต่ความจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่แปรเป็นอื่น.
แต่ก่อน มือทั้งสองของข้าพเจ้าสวยงาม ประดับ
ด้วยแหวนทองงามระยับ เดี๋ยวนี้ กลายเป็นเสมือน
เหง้ามัน เพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัส
แต่ความจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่แปรเป็นอื่น.
แต่ก่อน กันทั้งสองของข้าพเจ้าอวบอัดกลมกลึง
ตั้งประชิดกัน ทั้งงอนสล้างสวยงาม เดี๋ยวนี้ กลายเป็น
หย่อนยานเหมือนถุงหนังที่ไม่มีน้ำเพราะชรา พระ-
ดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสแต่ความจริง เป็นคำจริง
แท้ ไม่แปรเป็นอื่น.
แต่ก่อน กายของข้าพเจ้าเกลี้ยงเกลาดังแผ่นทอง
สวยงาม เดี๋ยวนี้ กลายเป็นสะพรั่งด้วยเส้นเอ็นอัน
ละเอียดเพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัส
แต่ความจริง เป็นคำจริงแต่ ไม่แปรเป็นอื่น.

แต่ก่อน ขาอ่อนทั้งสองของข้าพเจ้าสวยงาม
เปรียบเหมือนงวงช้าง เดี๋ยวนี้ กลายเป็นเสมือนข้อไม้
ไผ่ เพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสแต่
ความจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่แปรเป็นอื่น.
แต่ก่อน แข้งทั้งสองของข้าพเจ้าประดับด้วย
กำไลทองเกลี้ยงเกลาสวยงาม เดี๋ยวนี้ กลายเป็นเหมือน
ต้นงาขาด เพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้
ตรัสแต่ความจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่แปรเป็นอื่น.
แต่ก่อน เท้าทั้งสองของข้าพเจ้าสวยงามเหมือน
รองเท้าหุ้มปุยนุ่น เดี๋ยวนี้ แตกเป็นริ้วรอยเพราะชรา
พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสแต่ความจริง เป็นคำ
จริงแท้ ไม่แปรเป็นอื่น.
เดี๋ยวนี้ ร่างกายนี้เป็นเช่นนี้ คร่ำคร่าเป็นแหล่ง
ที่อยู่แห่งทุกข์เป็นอันมาก ปราศจากเครื่องลูบไล้ เป็น
เรือนชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสแต่ความ
จริง เป็นคำจริงแท้ ไม่แปรเป็นอื่น.

จบอัมพปาลีเถรีคาถา

อรรถกถาวีสตินิบาต


1. อรรถกถาอัมพปาลีเถรีคาถา


ในวีสตินิบาต คาถาว่า กาฬกา ภมรวณฺณสทิสา เป็นต้น
เป็นคาถาของ พระอัมพปาลีเถรี มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
พระเถรีแม้รูปนี้ ก็ได้บำเพ็ญบารมีมาในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อน ๆ
สร้างสมกุศล อันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานมาในภพนั้น ๆ บรรพชาอุป-
สมบทในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าสิขี สมาทานสิกขาบทของ
ภิกษุณีอยู่ วันหนึ่ง ไหว้พระเจดีย์ ทำประทักษิณเวียนขวา เมื่อพระขีณา-
สวเถรีเดินไปก่อน พลันถ่มน้ำลาย ก้อนน้ำลายก็ตกไปที่ลานพระเจดีย์ พระ
ขีณาสวเถรีไม่เห็นก็เดินไป ภิกษุณีรูปนี้. เดินไปข้างหลังเห็นก้อนน้ำลายนั้นก็
คำว่า อีแพศยาชื่อไรนะ ถ่มน้ำลายลงที่ตรงนี้ ภิกษุณีรูปนี้ รักษาศีลในเวลา
เป็นภิกษุณี เกลียดการเข้าอยู่ในครรภ์ ก็ตั้งจิตไว้ให้อยู่ในอัตภาพเป็นอุปปา-
ติกะ. ด้วยการตั้งจิตนั้น ในอัตภาพสุดท้าย ภิกษุณีรูปนั้น ก็บังเกิดเป็น
อุปปาติกะ ที่โคนต้นมะม่วง ในพระราชอุทยาน กรุงเวสาลี. พนักงานเฝ้า
อุทยานเห็นเด็กหญิงนั้นก็นำเข้าพระนคร. เพราะบังเกิดที่โคนต้นมะม่วง นาง
จึงถูกเรียกว่า อัมพปาลี. ครั้งนั้น พวกพระราชกุมาร [เจ้าขาย] มากพระ
องค์ เห็นนางสะสวยน่าชมน่าเลื่อมใส ทั้งแสดงคุณพิเศษมีเสน่ห์น่ารักน่าใคร่
เป็นต้น ต่างก็ปรารถนาจะทำให้เป็นหม่อมห้ามของตนๆ จึงเกิดทะเลาะวิวาทกัน
คณะผู้พิพากษาได้รับคำฟ้องของนาง เพื่อระงับการทะเลาะวิวาทของพวกราช-
กุมารเหล่านั้น จึงตั้งนางไว้ในตำแหน่งคณิกาหญิงแพศยา ว่าจงเป็นของทุกๆคน.
นางได้ศรัทธาในพระศาสดาสร้างวิหารไว้ในสวนของตน มอบถวายแก่ภิกษุ-